หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2558

เทคนิคขั้นเทพ ขายของบนFacebookให้สำเร็จ

เทคนิคขั้นเทพ ขายของบนFacebookให้สำเร็จ

ตอนนี้ ยุคของตลาดออนไลน์ในประเทศไทยกำลังเป็นที่น่าสนใจอย่างมาก ซึ่งทำให้เกิดร้านค้าออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการขายผ่าน Social Network ฉะนั้นเพื่อรับกระแสนี้เราสามารถเริ่มจากอะไรก่อน

1.คิดก่อนว่าจะขายอะไรดี?

คุณต้องเลือกก่อนว่า“สินค้าที่คนอยากซื้อ กับ สินค้าที่คุณอยากขาย “ คุณจะสามารถขายสินค้าอะไร สำหรับคนที่ไม่เคยขายมาก่อน อาจจะยาก อีกทั้งไม่มีร้านค้า ไม่มีสินค้า (แนะนำว่าให้คุณเลือก ขายสินค้าที่คนอยากซื้อ! ) ดังนั้นเราควรศึกษาข้อมูล ก่อนว่าสินค้าที่มีความต้องการของคนส่วนใหญ่ต้องการใช้ อาจเป็นช่วงเทศกาล ของใช้สำหรับสตรีของหายาก ของสะสม แหล่งรับของ คุณจำเป็นต้องหาข้อมูลเหล่านี้ก่อนการเปิดร้านค้าออนไลน์  แต่สำหรับคนที่มีร้านอยู่แล้ว มีสินค้าที่ขายอยู่แล้ว คุณสามารถนำของที่มี มาขายได้เลย ถือว่ามีช่องทางในการพัฒนาร้านของคุณ โดยใช้งบประมาณไม่สูงเพราะฐานลูกค้าเดิมของคุณมีอยู่แล้ว และไม่ควรเปลี่ยนไปขายสินค้าอื่น เพราะคุณจะได้เปรียบเรื่องขอมูลสินค้า


2.หาแหล่งสินค้าราคาส่ง สินค้าเฉพาะกลุ่ม หรือสินค้าตามOrder
ถึงเวลาที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะขายสินค้าอะไร ต่อมาเพื่อให้ได้ราคาขายส่ง ควรหาตัวแทนจำหน่ายสินค้านั้นๆ เริ่มจาก
2.1. การหาสินค้า โดยไม่ต้องลงทุนสต๊อกสินค้า กับ Dropship คือ ระบบบริหารจัดการโดยจะมีตัวกลางคอยสนับสนุนเกี่ยวกับสินค้า ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ รายละเอียดสินค้า พร้อมด้วยราคาพิเศษที่สามารถนำไปขายได้กำไรต่อทันที และยิ่งไปกว่านั้นทางตัวกลางจะจัดส่ง สินค้าไปทางผู้ซื้อโดยตรงด้วย เราแค่สมัครเป็นสมาชิก และเอาสินค้าไปขายได้เลย โดยไม่ต้องซื้อสินค้าก่อน เมื่อคุณขายสินค้าได้ คุณมีหน้าที่แจ้งไปให้ตัวแทนจำหน่ายทราบ พร้อมโอนเงิน ตามราคาส่งและค่าขนส่ง(ถ้ามี) ที่ตกลงกันไว้


2.2. Pre-order คือการหาสินค้า มาโพสขายในร้าน เสมือนจับเสือมือเปล่า ไม่ต้องลงทุนลงแรง 
Pre-order คือการสั่งจองสินค้าล่วงหน้า สินค้าจะได้รับหลังจากวันที่ปิดรอบประมาณ วันแล้วแต่ผู้ขายแจ้งอาจจะ 15-20 วัน ซึ่งเป็นการหาสินค้า มาโพสขายในร้าน  เมื่อลูกค้าสนใจ และต้องการสั่งซื้อ ลูกค้าต้องโอนค่าสินค้าก่อน ตามแต่จะตกลงว่าให้จ่ายเต็มจำนวน หรือมัดจำไว้จ่ายกี่เปอร์เซ็นต์ แต่ต้องมีการแจ้งลูกค้าให้ชัดเจน
ข้อเสียของสินค้าค้าแบบ Pre-order นี้ คือ กลุ่มสินค้ามีราคาสูง เป็นสินค้าที่หาซื้อไม่ได้ทั่วไป ได้ลดพิเศษ เป็นสินค้านำเข้า และแน่นอน ผู้ขายต้องมีคนรู้จักที่อยู่ต่างประเทศคอยซื้อส่งมาให้คุณ หรือ เป็นคนไปต่างประเทศบ่อย หรือ ผ่าน shipping เป็นงานทีเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้า จำนวนมาก ต้องประสานงานกับกรมศุลกากรและกรมสรรพสามิตในการนำเข้าและส่งออกต้องทำเป็นขั้นเป็นตอน ไม่สามารถที่จะทำการสั่งแล้วส่งเลยได้

2.3 การสั่งซื้อสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายเดิมๆ ที่เปิดตัวอยู่ก่อน

ร้านค้าหรือตัวแทนจำหน่ายขายส่ง คุณสามารถค้นหาที่เว็บไซด์ Google เพื่อค้นหาสินค้าเช่น ถ้าคุณต้องขายครีมหน้าเด้ง ลองพิมพ์คำว่า “ ครีมหน้าเด้งขายราคาส่ง ” จะปรากฏรายชื่อร้านขายส่งมากมาย  ลองโทรไปสอบถามร้านที่เราสนใจ หรือไปดูที่ร้านเลย แต่วิธีนี้อาจต้องซื้อสินค้ามาเก็บไว้เองเพื่อให้ให้มั่นใจ และดูความน่าเชื่อถือของร้านด้วย

3 .วางแผน พร้อมเตรียมตัวก่อนเปิดร้านออนไลน์เพื่อให้ร้านเราออกมาดีที่สุด

มาดูกันว่าเราควรเตรียมอะไรในการเปิดร้านออนไลน์

3.1 เรื่องสำคัญที่หลายคนมองข้ามการตั้งชื่อร้าน ออกแบบโลโก้ และแฟนเพจร้านค้าบนFacebook
ให้เข้ากับแนวคิด Concept ของสินค้าที่จะนำมาเสนอขาย เช่นขายรองเท้า ควรตั้งชื่อแนว ” LOVESHOESหรือ missbeautyshoe” เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ และให้ลูกค้าจดจำได้ง่าย ใช้ไอเดียให้สุดความสามารถ จะแสดงถึงความตั้งใจของร้านนั้นๆ ตลอดจนความน่าเชื่อถือของร้านค้าด้วย


3.2 สร้างเฟสบุ๊คแฟนเพจ ให้เรียบร้อย มีเทคนิคมาแนะนำ แล้วคุณจะรุ่งทีเดียว
  1. ครั้งแรก เมื่อสร้างแฟนเพจแล้วยังไม่สามารถเปลี่ยนชื่อแฟนเพจได้ ชื่อมันจะเป็นตัวเลขลักษระนี้ https://www.facebook.com/pages/loveshoes /101119856606750 ดูแล้วไม่ดึงดูด ควรให้คนมากด Like ก่อนอย่างน้อย 30 ไลค์ หลังจากได้ครบ 30 Like ให้เปลี่ยนชื่อเพจเป็น https://www.facebook.com/loveshoes 
  2. อย่าเพิ่งโพสขาย และก็ขายสินค้า เป็นอย่างบ้าระห่ำ ช่วงแรก ให้โพส เรื่องทั่วๆไป เรื่องบันเทิง ท่องเที่ยว อาหารสับเพเหระ ไปก่อน
  3. ให้คนรู้จักแฟนเพจของร้านค้าเราแบบไม่เป็นทางการก่อน ให้มีคนกด Like เพจของร้านค้าคุณเยอะ ยิ่งมาก ยิ่งดี เมื่อมีคนเห็นเยอะ เวลาคุณโพสสินค้าลงไป ทำให้สินค้าของคุณเป็นที่รู้จัก คนจะแชร์ให้เพื่อนต่อไปอีกเยอะ เป็นวิธีที่ดีที่สุด สร้างความน่าเชื่อถือให้แฟนเพจได้มากทีเดียว
  4. วิธีเพิ่ม Like ไห้เร็วที่สุด คือ การใช้บริการเพิ่ม Like ควรดูราคา ค่าบริการ อย่าให้แพงเกินไป ซึ่งจะสามารถเห็นได้ทั่วไปในเฟสบุ๊ค
    • ปกติราคา Like ละ 0.5 บาท คือ 1,000 Like 500 ตอนนี้ ราคาลดลงมากแล้ว
    • ถ้าคุณต้องการขายของให้คนไทย ก็ให้กำหนดกลุ่มคนที่จะ Like เป็นคนไทย ราคาค่า Like จะเพิ่มเป็น ประมาณ Like ละ 1 บาท ซึ่ง Like ที่ได้ อาจไม่ใช่กลุ่มลูกค้า เป็นเพียงการสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นการเพิ่มช่องทางในการโปรโมทสินค้าต่อไปเท่านั้น
  5. วิธีได้ลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด คือ การโฆษณาผ่านเฟสบุ๊คโดยตรง สามารถเลือกให้แสดงโฆษณากับใคร เพศ ชาย อายุเท่าไหร่ ฯลฯ ซึ่งค่อนข้างละเอียด แต่ก็ต้องแลกกับค่าโฆษณาที่ต้องมีค่าใช้จ่าย

3.2 เงินลงทุน ในการซื้อสินค้ามาสต๊อก คำนวณให้ดีว่าจะซื้อมาสต๊อกเท่าไหร่ เพียงพอต้อการหมุนเวียนเงินให้พอดี
  1. ค่าโฆษณา คำนวณงบประมาณให้ดี อย่าให้บานปลาย ในกรณีที่ ตั้งใจว่าจะทำการประชาสัมพันธ์สินค้า ผ่านโฆษณาของเฟสบุ๊ค
  2. ถ่ายรูปสินค้าต้องมีค่านางแบบ ช่างภาพ เพื่อแสดงเอกลักษณ์ดึงดูด หรือ ก็หารูปภาพจากอินเทอร์เน็ตก็สมารถประยุกต์ใช้ได้
  3. ราคาค่าส่งสินค้าสินค้า คุณต้องรู้ให้หมด เช่น ค่าขนส่ง พัสดุ หีบห่อ อุปกรณ์ที่ต้องใช้ และระยะเวลาในการขนส่ง
  4. สร้างร้านค้าให้น่าเชื่อถือ
    • ควรมีเว็บไซต์สำหรับร้านค้าด้วย จัดหมวดหมู่สินค้าชัดเจนมีระเบียบ รูปแบบร้านให้สวยงาม มีข้อมูลสำหรับให้ลูกค้าติดต่อได้ชัดเจน รายละเอียดการชำระค่าสินค้า ช่องทางการชำระค่าสินค้า ต้องแจ้งไว้อย่างชัดเจน
    • ข้อมูลสินค้าจัดเตรียมให้รายละเอียดครบถ้วน แจ้งรายละเอียดการจัดส่งสินค้า ระยะเวลา ค่าจัดส่งให้ชัดเจน เงื่อนไขการคืนสินค้า พยายามนึกถึงกรณีต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้
    • รูปสินค้า ให้สวยงาม อาจใช้อินสตาแกรม ถ่ายพร้อมแชร์ได้ทันที

ที่มาข้อมูล bloxabout.com

วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2558

เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง


เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
เหรียญมีสองด้านเสมอ เมื่อเราทำงานเป็นพนักงานประจำ ก็อาจอยากออกมาทำธุรกิจส่วนตัว เมื่อเราออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ก็อาจอยากกลับไปทำงานประจำ ทั้งงานประจำ และธุรกิจส่วนตัว ต่างก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป และอยู่ที่ไลฟ์สไตล์ ลักษณะการใช้ชีวิต และการรับความเสี่ยงของแต่ละคน สำหรับใครที่สนใจอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ผมเขียนบทความ เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง มาช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น

1. มีเวลามากขึ้น
หมายความว่าเราจะสามารถจัดการเวลาได้มากขึ้น ควบคุมเวลาได้มากขึ้น สามารถกำหนดเวลาทำงาน เวลาพักผ่อนได้ ช่วยให้สามารถควบคุมชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเราให้อิสระกับเวลามากเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อการทำงานได้ ในช่วงแรกที่ผมออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ก็ให้อิสระกับเวลาทำงานมาก (จนเกินไป) สุดท้ายก็กลับมาใช้เวลาทำงานเหมือนพนักงานประจำ เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับใครที่ทำธุรกิจที่บ้าน อ่านเพิ่มเติมได้ที่ 5 วิธี ทำงานที่บ้าน ให้ดีและมีความสุข
เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
2. มีอิสระมากขึ้น
การมีอิสระมากขึ้น คือหนึ่ง เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำตามกฎเกณฑ์ต่างๆของบริษัท สามารถเลือกทำและไม่ทำตามที่ใจต้องการ ยิ่งจากการเป็นลูกจ้างมาเป็นนายจ้าง ทำให้มีอิสระทางความคิดมากขึ้น การบริหารงานสามารถทำได้อย่างเต็มที่ เป็นคนอนุมัติทุกอย่าง ทั้งแผนการตลาด การบริหาร การเงิน อย่างไรก็ตาม การมีอิสระและอำนาจมากเกินไป อาจะก่อให้เกิดปัญหากับธุรกิจได้ เราอาจทำสิ่งต่างๆตามใจจนเกินไป ไม่รับฟังผู้อื่น มีอีโก้สูง รวมถึงการใช้อำนาจกับลูกน้องจนเกินไป ดังนั้น ควรจะวางระบบการทำงานในธุรกิจ ดูแลบริหารงานต่างๆอย่างมีสติ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ สิ่งที่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ควรรู้ก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจ
3. รู้จักตัวเองมากขึ้น
การเริ่มออกมาทำธุรกิจส่วนตัว ช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะการที่เราต้องประสบปัญหาต่างๆ ทำให้เรารู้ข้อดีข้อเสียของตัวเรามากขึ้น เวลาเราผิดพลาดหรือล้มเหลวในธุรกิจ จะทำให้เราเห็นถึงข้อเสียของเรา ทั้งการบริหารงาน การวิเคราะห์ วางแผน อารมณ์ การใช้ชีวิต การใช้จ่ายเงิน การลงทุน เมื่อผ่านพ้นมาได้ เราจะรู้จักตัวเองมากขึ้น เราจะรู้ว่าเราถนัดอะไร จริงๆแล้วเราเป็นคนอย่างไร เราต้องปรับปรุงด้านใดบ้าง แม้แต่รู้ว่าจริงๆแล้ว เราชอบทำธุรกิจส่วนตัวหรืองานประจำมากกว่ากัน
4. มีความภูมิใจมากขึ้น
ไม่ว่าทำงานประจำหรือธุรกิจส่วนตัว ล้วนแต่สามารถสร้างความภูมิใจได้ทั้งสิ้น การทำงานประจำ ส่วนใหญ่การทำงานจะเหมือนกราฟค่อยๆลง คือความกระตือรือร้นในการทำงานจะค่อยๆลดลงตามอายุ แต่ธุรกิจส่วนตัว การทำงานจะเหมือนกราฟค่อยๆขึ้น คือความกระตือรือร้นในการทำงานจะค่อยๆมากขึ้นตามความสำเร็จ เราได้ทั้งความภูมิใจ ชื่อเสียง และเงินทอง เมื่อบริหารธุรกิจจนผ่านพ้นปัญหาต่างๆได้
5. มีความสนุกมากขึ้น
ทำในสิ่งที่เรารัก ทำในสิ่งที่อยากทำ ทำในสิ่งที่เราได้ผลประโยชน์นั้นกลับมาเต็มที่ ความสนุกก็ต้องมากขึ้น สนุกตั้งแต่การศึกษา ค้นคว้า พัฒนาสินค้าและบริการ จนนำสินค้าและบริการออกสู่ตลาด จนได้ยอดขายที่มากขึ้น แม้ว่าอาจจะประสบปัญหาบ้าง แต่ความสนุกในการทำงานก็ยังคงอยู่ ที่สำคัญ การทำงานด้วยความสนุก เป็นปัจจัยที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้แน่นอน
6. มีโอกาสทางการเงินมากขึ้น
เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง คือมีโอกาสทางการเงินมากขึ้น เนื่องจากว่าเราได้รับผลกำไรจากการทำธุรกิจ ทำให้เรามีโอกาสทางการเงินมากขึ้น หมายถึงมีโอกาสรวยมากกว่าทำงานประจำ (แต่ก็เสี่ยงกว่า) ข้อดีคือยิ่งทำมากก็ยิ่งได้มาก ยิ่งขยันก็ยิ่งรวย เพราะได้ผลกำไรเต็มๆ ไม่ใช่ได้เพียงเงินเดือน ข้อเสียคือมีความเสี่ยงในธุรกิจ อย่างเช่นคำกล่าวที่ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่ 7 บทเรียนจาก ความผิดพลาดของนักธุรกิจมือใหม่
7. มีความท้าทายมากขึ้น
ใครรู้สึกเบื่องานประจำ ขาดความท้าทายในการทำงาน คือ เหตุผลที่ควรมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แนะนำให้มาทำธุรกิจส่วนตัวเลยครับ ท้าทายทั้งวัน อดรีนาลีนหลั่งทั้งวัน :) ไม่ว่าจะการแข่งขันในตลาด การพัฒนาสินค้าและบริการให้ดีที่สุด การควบคุมค่าใช้จ่าย การหาลูกค้า การเติบโตของธุรกิจ การบริหารงานในบริษัท และความท้าทายอีกมากมายรอท่านอยู่ แต่ความท้าทายเหล่านี้ เมื่อเราผ่านพ้นไปแล้ว เราจะพบกับความสำเร็จในชีวิต
มีความท้าทายมากขึ้น
8. มีความความมั่นคงมากขึ้น
การทำธุรกิจส่วนตัว ช่วยให้เรามีความมั่นคงมากขึ้น ทั้งจากความมั่นคงทางการเงิน ทางการทำงาน และทางอาชีพ บ่อยครั้งที่เราเห็นว่าพนักงานประจำ จะมีการเลย์ออฟ ถอดถอน โยกย้ายตำแหน่งกันอยู่เป็นประจำ การทำธุรกิจส่วนตัว คือการเป็นนายตัวเอง ช่วยให้เรามีความมั่นคงในอาชีพการงานได้ดี (แลกกับความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน)
9. มีโอกาสทำตามฝันมากขึ้น
ฟังเหมือน AF นักล่าฝัน…แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ การทำธุรกิจส่วนตัว ช่วยให้เรามีทั้งเวลา อิสระ การเงิน ความมั่นคง และอื่นๆ ทำให้เราสามารถเดินตามฝันได้มากขึ้น ตั้งแต่ฝันเล็กๆไปถึงฝันใหญ่ๆ เช่น เปิดร้านกาแฟ ร้านเสื้อผ้า ร้านอาหาร ท่องเที่ยว จัดอบรมให้แรงบันดาลใจ บริจาคเงินให้แก่ผู้ด้อยโอกาส ทำมูลนิธิ สร้างสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ชาติ และอื่นๆอีกมากมายตามที่ใจต้องการ
ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำหรือธุรกิจส่วนตัว เราก็สามารถทำงานให้มีคุณค่า ท้าทาย สนุก ภูมิใจในสิ่งที่ทำ มีเงินทองและความมั่นคงได้เช่นกัน อยู่ที่ว่าเราทุ่มเทและตั้งใจในการที่เราทำหรือไม่ ในบทความผมเขียนทั้งข้อดีข้อเสีย หวังว่าจะช่วยให้ตัดสินใจได้นะครับ ขอให้ทุกคนมีความสุขในสิ่งที่ทำครับ

5 สิ่งที่ไม่ควรพูด ถ้าอยากประสบความสำเร็จ

5 สิ่งที่ไม่ควรพูด ถ้าอยากประสบความสำเร็จ

5 สิ่งที่ไม่ควรพูด ถ้าอยากประสบความสำเร็จ


เคยสังเกตกันหรือไม่ ว่าคำพูดที่เราใช้กันมักจะแฝงไว้ด้วยทัศนคติ คำที่ผมได้เจอบ่อยเวลาคุยงานหรือแชร์ไอเดียออกไป คือ “ยากอ่ะ” “เป็นไปไม่ได้หรอก” ทำให้เห็นถึงทัศนคติต่อการทำงาน การใช้ชีวิต หรือนิสัยการลงทุน ได้พอสมควร ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือ Hatching Twitter เป็นเรื่องราวการเริ่มต้นและดำเนินธุรกิจของ Twitter เห็นได้ชัดว่า ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ มีแต่ลงมือทำไอเดียต่างๆ บทความนี้จะแนะนำวิธีปรับเปลี่ยนทัศนคติ กับ 5 สิ่งที่ไม่ควรพูด ถ้าอยากประสบความสำเร็จ
1. ทำไม่ได้หรอก
ลองคิดว่า ถ้า Steve Jobs, Bill Gates, หรือ Mark Zuckerberg พูดคำพูดนี้ออกมา เราคงไม่ได้เห็น Apple, Windows, หรือ Facebook แน่นอน ไม่จำเป็นต้องเรื่องเทคโนโลยี หรือ นวัตกรรมใหม่ๆ อาจจะเป็นแค่เรื่องการแข่งขันในตลาด การพัฒนาสินค้าและบริการ เคยหรือไม่ ที่เรามีไอเดียทำธุรกิจแต่มีคู่แข่งในตลาดมาก แล้วเราก็คิดว่า “ทำไม่ได้หรอก ยาก คู่แข่งเยอะเกินไป สู้ไม่ได้หรอก” สิ่งที่สำคัญคือ การที่เราได้คิดหาทางแก้ปัญหาแล้วหรือยัง ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ลองเปลี่ยนทัศนคติดูครับ แค่ลองไม่คิดว่าทำไม่ได้หรอก แต่ให้คิดว่าทำอย่างไรถึงจะเป็นไปได้ อ่านเพิ่มเติมได้ที่ 8 การเปลี่ยนวิธีคิด พลิกชีวิตให้ รวย
ทำไม่ได้หรอก
2. ไม่รู้ว่าทำอย่างไร
ทุกครั้งที่ผมได้ยินคำนี้ ผมจะคิดว่า คงไม่อยากทำ เพราะการพูดคำนี้ออกมา คือการไม่หาวิธีการทำ ส่วนใหญ่แล้วคนที่ประสบความสำเร็จล้วนจะเรียนรู้วิธีการทำ คิดค้น ศึกษา หรือทดลองวิธีการทำต่างๆ ยิ่งถ้าเราได้มีโอกาสทางธุรกิจ แทนที่จะรีบปิดกั้น หรือปฏิเสธโอกาสต่างๆ ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ให้เราเรียนรู้ ศึกษา หรือหาวิธีการทำธุรกิจนั้น แล้วรับโอกาสนั้นมาทำให้ประสบความสำเร็จ
intiligent photo
3. ไม่ว่าง!
เหมือนเราเรียกแท็กซี่ ถ้าคนเรียกแล้วบอก ไม่ว่าง ไม่ไป ก็คงจะเสียโอกาสได้ผู้โดยสาร ดังนั้น ถ้ามีโอกาสมา ไม่ว่าจะเป็น งานใหม่ ธุรกิจใหม่ หรือลูกค้าใหม่ ไม่ว่าจะยุ่งมากขนาดไหน ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ให้รับโอกาสนั้นไว้ แล้วทำมันให้สำเร็จ เวลาผมได้ยินใครพูดว่า ไม่มีเวลา ก็เท่ากับบอกว่าไม่อยากทำ
ไม่ว่าง
4. เรายังไม่ดีพอ
คนที่ประสบความสำเร็จ จะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และรู้คุณค่าในตัวเอง ถ้าเมื่อไหร่เราคิดว่าเรายังไม่ดีพอ ให้รีบค้นหาว่าเรายังไม่ดีด้านไหน ขาดส่วนไหน ให้ปรับปรุงและเพิ่มเติมความรู้ความสามารถให้เต็มที่ อย่าลืมว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จ เราควรจะเชื่อมั่นและรู้จักสร้างคุณค่าในตัวเอง รู้ว่าเราเด่นหรือด้อยอย่างไร ถ้าคิดว่า “ยังไม่ดีพอได้” เราก็ควรคิดได้ว่า “ทำอย่างไรถึงจะดีพอ” อ่านเพิ่มเติมได้ที่ รู้จักตัวเอง…กันหรือยัง? (Start up business)
เรายังไม่ดีพอ
5. ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะให้เครดิตหรือผลงานแก่ผู้ร่วมงาน อย่าลืมว่า งานทุกอย่างมีคนช่วย ส่งเสริม หรือมีการทำงานซัพพอร์ทอยู่ในสายงานนั้น การไม่ให้เครดิตในการทำงาน มักจะส่งผลให้เกิดปัญหาในการร่วมงาน รวมถึงความสัมพันธ์ภายในบริษัทด้วย ถ้าใครได้อ่าน Hatching Twitter จะพบว่ามีปัญหานี้เกิดขึ้นระหว่างผู้ร่วมก่อตั้งด้วย ดังนั้น การมีคนให้ดีใจ ร่วมแสดงความยินดีด้วยกัน เมื่อประสบความสำเร็จ เป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดแล้ว
ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
ผมเชื่อว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราต้องการจะทำ หรืออยากจะเป็น ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จ เราควรคิดว่าทำอย่างไรถึงจะสำเร็จ ทำอย่างไรถึงจะเป็นไปได้ ถ้าไม่รู้ หรือทำไม่เป็น ก็ศึกษาหาความรู้ และทดลองทำ เดี๋ยวก็สำเร็จ สำหรับใครที่มีไอเดียธุรกิจ เอสเอ็มอี (SMEs) ผมแนะนำให้อ่าน ไอเดียธุรกิจ หรือ ไอเดียในการทำธุรกิจ แล้วลองปรับใช้กับธุรกิจของท่านดูครับ

กลยุทธ์การสร้าง Social Marketing

กลยุทธ์การสร้าง Social Marketing ให้เกิดผล

ในยุค Soujhbjncial แบบนี้ เทคโนโลยีเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น การตลาดเดิมๆ ก็แทบไม่มีผลต่อลูกค้าอีกต่อไป
ทำให้การส่งข่าวสารการทำการตลาดสามารถแพร่ไปในวงกว้างมากขึ้นและใช้เวลาน้อยนิดด้วยระบบ Internet

จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่กลยุทธ์ Social Marketing จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการทำการตลาดของธุรกิจมากขึ้น
ซึ่งหลายๆ ธุรกิจต่างก็ให้ความสำคัญกับ Social Marketing กันค่อนข้างมาก แต่น่าเสียดายที่หลายๆ องค์กร
นั้นก็กลับสูญเงินเปล่าไปกับการทำ Social Marketing ไปผิดวิธีโดยที่ไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆ กับองค์กร
จึงอยากจะแนะนำแนวทางการสร้างกลยุทธ์ Social Marketing เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพกับองค์กรให้ได้มากที่สุดด้วยวิธีดังนี้

การตลาดสอดคล้องกับภาพลักษณ์
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้ Social Marketing นั้นไม่มีผลกับลูกค้าอย่างแรกเลยเป็นเพราะมีนักการตลาดน้อยคนนักที่จะรู้จริงๆ ว่าContent ที่พวกเขาส่งออกไปบนโลก Social กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ Content บางอย่างอาจเกิดขึ้นตามกระแส
Content บางอย่างอาจถูกถ่ายทอดโดยไม่ไตร่ตรอง จนทำให้เนื้อหา Content จริงๆ ที่เราต้องการสื่อออกไปนั้นไม่ได้เป็นเครื่องตอกย้ำให้ผู้คนทั่วไปจดจำแบรนด์ได้เลย ซึ่งทางที่ถูกนั้นการสร้าง Content บนโลก Social ควรที่จะพิจารณาให้ดีก่อนว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์เรามีลักษณะเป็นอย่างไรก่อนที่จะสื่อความ Content ให้มีความสอดคล้องกับแบรนด์มากขึ้น
ตัวอย่างเช่นแบรนด์อย่าง Apple ก็จะมีภาพลักษณ์ในเรื่องของความเรียบง่าย ซึ่งถ้าสังเกตดูโฆษณา Apple
แต่ละตัวก็จะยึดแนวทางเดิมในการใช้ความเรียบง่ายเล่าเรื่องเสมอ หรืออย่างแบรนด์ Red Bull ที่เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง
ก็มักจะสร้างภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Life Style แบบ Extreme และ Content ส่วนมากมักก็มักจะไปผูกอยู่กับพวกกิจกรรม
Extreme อย่างการแข่งรถหรือกีฬาจำพวกนี้อยู่เสมอๆ ซึ่งวิธีนี้ก็จะทำให้ผู้คนจดจำภาพลักษณ์และจุดเด่นของแบรนด์ได้มากขึ้น



หาโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ
รายการทีวี รายการวิทยุ ต่างก็มีการจัดผังโปรแกรมต่างๆ ตามเวลา เพื่อให้รายการมีความหลากหลาย
และสามารถเลือก Content ที่ตรงกับกลุ่มผู้ดูหรือผู้ฟังได้ตรงตามความเหมาะสม ซึ่งสำหรับ Social Marketing ก็เช่นกัน
การที่เราจะลง Content แต่ละครั้งนั้นควรมีแผนเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน โดยอาจเริ่มวิเคราะห์จากกลุ่มลูกค้าตัวเองก่อนก็ได้ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
เช่น ถ้าลูกค้าเราอยู่ในกลุ่มวัยทำงาน ก็อาจคิดได้ว่าช่วงเวลาที่โพสต์ Content ที่ดีที่สุดอาจเป็นช่วงก่อนพักกลางวัน หรือก่อนเลิกงานก็ได้ เป็นต้น
การมีโครงสร้างของ Content เช่นนี้จะช่วยให้การทำ Social Marketing เป็นระบบระเบียบแบบแผนมากขึ้นว่าในแต่ละช่วงเวลานั้นเราจะลง Content ที่มีลักษณะอย่างไร
และควรเลือกใช้ Content หลากหลายแบบเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซากด้วย หลังจากทดลองดูผลตอบรับของลูกค้าแล้วก็ควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมขึ้นเรื่อยๆ
จนเห็นผลที่ดีที่สุดแล้วจึงเลือกใช้โครงสร้างนั้นในการทำ Social Marketing ในอนาคตต่อไป

ไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่ต้องสร้าง Community
ลูกค้าที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และมีความชอบในแบรนด์เดียวกัน
เมื่อมีโอกาสมาแลกเปลี่ยนทัศนคติกันหรือมีโอกาสรวมตัวกันเพื่อได้พูดถึงหรือแสดงความเห็นในแบรนด์ที่ตัวเองรัก
มักจะก่อให้เกิดเป็น Community ของกลุ่มลูกค้าที่มีความแข็งแกร่ง เหนียวแน่น และมีความจงรักภักดีมากกว่าแบรนด์ที่แม้ว่าจะมีลูกค้ามากมายกระจายกันออกไป
โดยที่ไม่มีจุดร่วมใดที่เชื่อมโยงพวกเขาเอาไว้เลย อีกทั้งเมื่อเกิด Community แล้วประโยชน์ทีเราจะได้รับ
คือเราจะได้แนวทางความเห็นของสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ไปในทางเดียวกันและชัดเจนมากขึ้น รวมไปถึงการที่กลุ่ม Community เหล่านี้
พร้อมที่จะออกมาปกป้องแบรนด์เมื่อถูกโจมตีอีกด้วย ดังนั้นนอกจากตัวแบรนด์เองที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว
แบรนด์ควรจะต้องเป็นสื่อกลางที่จะสานสัมพันธ์ให้กับกลุ่มลูกค้าด้วย โดยอาจจะผ่านทางการรวมตัวเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
หรือวิธีง่ายๆ อย่างการจัดทำ Fan Page หรือ Group บนโลก Social Network ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะได้ร่วมแสดงความเห็นต่างๆ หรือพูดคุยกันจนเกิดเป็น Community ได้ด้วย



จำกัด Social Media ให้ถูกจุด
ทุกวันนี้มีเครื่องมือ Social Media หรือช่องทางต่างๆ ในการนำเสนอ Content ให้เราได้เลือกใช้มากมาย
จนบางครั้งก็ดูเหมือนจะมากเกินไปหากเราเลือกใช้ไปทุกๆ ตัวมี เพราะนอกจากจะทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึงแล้ว
ยังเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วยถ้าหากว่ามีหลายเครื่องมือที่กลุ่มลูกค้าเราไม่ได้ใช้
ทางออกอย่างหนึ่งก็คือเราควรพิจารณาก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเรานั้นนิยมใช้เครื่องมือ Social Media ตัวไหนกันบ้าง
และสินค้าของเรานั้นเหมาะกับชิ้นไหน ก่อนที่จะเลือกใช้ Social Media สัก 3-4 ชนิด
อย่างเช่น สำหรับร้านขายของ Handmade ที่เน้นรูปผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าที่ต้องการขาย
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วพบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนมากมักเล่น Facebook และ Instragram
ก็ควรที่จะพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ใน Social media นั้นๆ ส่วนปัจจัยต่อมาเมื่อดูแล้วว่าแบรนด์ของเราเป็นสินค้าสวยๆ งามๆ
ขายไอเดียก็อาจเพิ่มไปลง Social Media อย่าง Pinterest ที่เป็นแหล่งรวบรวมผู้ที่สนใจสินค้าแนวนี้เพิ่มเข้าไปอีกก็ได้

การทำ Social Marketing นั้นอาจดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับหลายๆ คน แต่หากต้องการทำ Social Marketing ให้เกิดผลสูงสุดและคุ้มค่ากับกับที่ลงทุนไปแล้วนั้น
เรื่องง่ายๆ ก็อาจก็กลายเป็นเรื่องยากได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนไปกับ Social Media แล้ว
ลองศึกษาทั้ง 4 หัวข้อข้างต้นให้ละเอียดดูก่อนว่าเราลงมือทำตามแล้วหรือยัง เพราะทั้ง 4 หัวข้อนี้
ต่างก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจและเหมาะที่จะใช้ในการเริ่มต้นทำ Social Marketing ไม่น้อยเลยทีเดียวทั้งการปรับการตลาดให้เข้ากับภาพลักษณ์ ใช้โครงสร้างเข้าช่วย การสร้างCommunity หรือแม้แต่การเลือกใช้เครื่องมือก็ถือเป็นสิ่งสำคัญแทบทั้งนั้น

Credit : www.promotethaibiz.com