กลยุทธ์การสร้าง Social Marketing ให้เกิดผล
ในยุค Soujhbjncial แบบนี้ เทคโนโลยีเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น การตลาดเดิมๆ ก็แทบไม่มีผลต่อลูกค้าอีกต่อไป
ทำให้การส่งข่าวสารการทำการตลาดสามารถแพร่ไปในวงกว้างมากขึ้นและใช้เวลาน้อยนิดด้วยระบบ Internet
นั้นก็กลับสูญเงินเปล่าไปกับการทำ Social Marketing ไปผิดวิธีโดยที่ไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆ กับองค์กร
จึงอยากจะแนะนำแนวทางการสร้างกลยุทธ์ Social Marketing เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพกับองค์กรให้ได้มากที่สุดด้วยวิธีดังนี้
+ การตลาดสอดคล้องกับภาพลักษณ์
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้ Social Marketing นั้นไม่มีผลกับลูกค้าอย่างแรกเลยเป็นเพราะมีนักการตลาดน้อยคนนักที่จะรู้จริงๆ ว่าContent ที่พวกเขาส่งออกไปบนโลก Social กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ Content บางอย่างอาจเกิดขึ้นตามกระแส
Content บางอย่างอาจถูกถ่ายทอดโดยไม่ไตร่ตรอง จนทำให้เนื้อหา Content จริงๆ ที่เราต้องการสื่อออกไปนั้นไม่ได้เป็นเครื่องตอกย้ำให้ผู้คนทั่วไปจดจำแบรนด์ได้เลย ซึ่งทางที่ถูกนั้นการสร้าง Content บนโลก Social ควรที่จะพิจารณาให้ดีก่อนว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์เรามีลักษณะเป็นอย่างไรก่อนที่จะสื่อความ Content ให้มีความสอดคล้องกับแบรนด์มากขึ้น
ตัวอย่างเช่นแบรนด์อย่าง Apple ก็จะมีภาพลักษณ์ในเรื่องของความเรียบง่าย ซึ่งถ้าสังเกตดูโฆษณา Apple
แต่ละตัวก็จะยึดแนวทางเดิมในการใช้ความเรียบง่ายเล่าเรื่องเสมอ หรืออย่างแบรนด์ Red Bull ที่เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง
ก็มักจะสร้างภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Life Style แบบ Extreme และ Content ส่วนมากมักก็มักจะไปผูกอยู่กับพวกกิจกรรม
Extreme อย่างการแข่งรถหรือกีฬาจำพวกนี้อยู่เสมอๆ ซึ่งวิธีนี้ก็จะทำให้ผู้คนจดจำภาพลักษณ์และจุดเด่นของแบรนด์ได้มากขึ้น

+ หาโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ
รายการทีวี รายการวิทยุ ต่างก็มีการจัดผังโปรแกรมต่างๆ ตามเวลา เพื่อให้รายการมีความหลากหลาย
และสามารถเลือก Content ที่ตรงกับกลุ่มผู้ดูหรือผู้ฟังได้ตรงตามความเหมาะสม ซึ่งสำหรับ Social Marketing ก็เช่นกัน
การที่เราจะลง Content แต่ละครั้งนั้นควรมีแผนเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน โดยอาจเริ่มวิเคราะห์จากกลุ่มลูกค้าตัวเองก่อนก็ได้ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
เช่น ถ้าลูกค้าเราอยู่ในกลุ่มวัยทำงาน ก็อาจคิดได้ว่าช่วงเวลาที่โพสต์ Content ที่ดีที่สุดอาจเป็นช่วงก่อนพักกลางวัน หรือก่อนเลิกงานก็ได้ เป็นต้น
การมีโครงสร้างของ Content เช่นนี้จะช่วยให้การทำ Social Marketing เป็นระบบระเบียบแบบแผนมากขึ้นว่าในแต่ละช่วงเวลานั้นเราจะลง Content ที่มีลักษณะอย่างไร
และควรเลือกใช้ Content หลากหลายแบบเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซากด้วย หลังจากทดลองดูผลตอบรับของลูกค้าแล้วก็ควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมขึ้นเรื่อยๆ
จนเห็นผลที่ดีที่สุดแล้วจึงเลือกใช้โครงสร้างนั้นในการทำ Social Marketing ในอนาคตต่อไป
+ ไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่ต้องสร้าง Community
ลูกค้าที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และมีความชอบในแบรนด์เดียวกัน
เมื่อมีโอกาสมาแลกเปลี่ยนทัศนคติกันหรือมีโอกาสรวมตัวกันเพื่อได้พูดถึงหรือแสดงความเห็นในแบรนด์ที่ตัวเองรัก
มักจะก่อให้เกิดเป็น Community ของกลุ่มลูกค้าที่มีความแข็งแกร่ง เหนียวแน่น และมีความจงรักภักดีมากกว่าแบรนด์ที่แม้ว่าจะมีลูกค้ามากมายกระจายกันออกไป
โดยที่ไม่มีจุดร่วมใดที่เชื่อมโยงพวกเขาเอาไว้เลย อีกทั้งเมื่อเกิด Community แล้วประโยชน์ทีเราจะได้รับ
คือเราจะได้แนวทางความเห็นของสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ไปในทางเดียวกันและชัดเจนมากขึ้น รวมไปถึงการที่กลุ่ม Community เหล่านี้
พร้อมที่จะออกมาปกป้องแบรนด์เมื่อถูกโจมตีอีกด้วย ดังนั้นนอกจากตัวแบรนด์เองที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว
แบรนด์ควรจะต้องเป็นสื่อกลางที่จะสานสัมพันธ์ให้กับกลุ่มลูกค้าด้วย โดยอาจจะผ่านทางการรวมตัวเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
หรือวิธีง่ายๆ อย่างการจัดทำ Fan Page หรือ Group บนโลก Social Network ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะได้ร่วมแสดงความเห็นต่างๆ หรือพูดคุยกันจนเกิดเป็น Community ได้ด้วย
+ จำกัด Social Media ให้ถูกจุด
ทุกวันนี้มีเครื่องมือ Social Media หรือช่องทางต่างๆ ในการนำเสนอ Content ให้เราได้เลือกใช้มากมาย
จนบางครั้งก็ดูเหมือนจะมากเกินไปหากเราเลือกใช้ไปทุกๆ ตัวมี เพราะนอกจากจะทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึงแล้ว
ยังเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วยถ้าหากว่ามีหลายเครื่องมือที่กลุ่มลูกค้าเราไม่ได้ใช้
ทางออกอย่างหนึ่งก็คือเราควรพิจารณาก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเรานั้นนิยมใช้เครื่องมือ Social Media ตัวไหนกันบ้าง
และสินค้าของเรานั้นเหมาะกับชิ้นไหน ก่อนที่จะเลือกใช้ Social Media สัก 3-4 ชนิด
อย่างเช่น สำหรับร้านขายของ Handmade ที่เน้นรูปผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าที่ต้องการขาย
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วพบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนมากมักเล่น Facebook และ Instragram
ก็ควรที่จะพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ใน Social media นั้นๆ ส่วนปัจจัยต่อมาเมื่อดูแล้วว่าแบรนด์ของเราเป็นสินค้าสวยๆ งามๆ
ขายไอเดียก็อาจเพิ่มไปลง Social Media อย่าง Pinterest ที่เป็นแหล่งรวบรวมผู้ที่สนใจสินค้าแนวนี้เพิ่มเข้าไปอีกก็ได้
การทำ Social Marketing นั้นอาจดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับหลายๆ คน แต่หากต้องการทำ Social Marketing ให้เกิดผลสูงสุดและคุ้มค่ากับกับที่ลงทุนไปแล้วนั้น
เรื่องง่ายๆ ก็อาจก็กลายเป็นเรื่องยากได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนไปกับ Social Media แล้ว
ลองศึกษาทั้ง 4 หัวข้อข้างต้นให้ละเอียดดูก่อนว่าเราลงมือทำตามแล้วหรือยัง เพราะทั้ง 4 หัวข้อนี้
ต่างก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจและเหมาะที่จะใช้ในการเริ่มต้นทำ Social Marketing ไม่น้อยเลยทีเดียวทั้งการปรับการตลาดให้เข้ากับภาพลักษณ์ ใช้โครงสร้างเข้าช่วย การสร้างCommunity หรือแม้แต่การเลือกใช้เครื่องมือก็ถือเป็นสิ่งสำคัญแทบทั้งนั้น
Credit : www.promotethaibiz.com
ทำให้การส่งข่าวสารการทำการตลาดสามารถแพร่ไปในวงกว้างมากขึ้นและใช้เวลาน้อยนิดด้วยระบบ Internet
จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่กลยุทธ์ Social Marketing จะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการทำการตลาดของธุรกิจมากขึ้น
ซึ่งหลายๆ ธุรกิจต่างก็ให้ความสำคัญกับ Social Marketing กันค่อนข้างมาก แต่น่าเสียดายที่หลายๆ องค์กรนั้นก็กลับสูญเงินเปล่าไปกับการทำ Social Marketing ไปผิดวิธีโดยที่ไม่เกิดผลประโยชน์ใดๆ กับองค์กร
จึงอยากจะแนะนำแนวทางการสร้างกลยุทธ์ Social Marketing เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพกับองค์กรให้ได้มากที่สุดด้วยวิธีดังนี้
+ การตลาดสอดคล้องกับภาพลักษณ์
ปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งที่ทำให้ Social Marketing นั้นไม่มีผลกับลูกค้าอย่างแรกเลยเป็นเพราะมีนักการตลาดน้อยคนนักที่จะรู้จริงๆ ว่าContent ที่พวกเขาส่งออกไปบนโลก Social กำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่ Content บางอย่างอาจเกิดขึ้นตามกระแส
Content บางอย่างอาจถูกถ่ายทอดโดยไม่ไตร่ตรอง จนทำให้เนื้อหา Content จริงๆ ที่เราต้องการสื่อออกไปนั้นไม่ได้เป็นเครื่องตอกย้ำให้ผู้คนทั่วไปจดจำแบรนด์ได้เลย ซึ่งทางที่ถูกนั้นการสร้าง Content บนโลก Social ควรที่จะพิจารณาให้ดีก่อนว่าภาพลักษณ์ของแบรนด์เรามีลักษณะเป็นอย่างไรก่อนที่จะสื่อความ Content ให้มีความสอดคล้องกับแบรนด์มากขึ้น
ตัวอย่างเช่นแบรนด์อย่าง Apple ก็จะมีภาพลักษณ์ในเรื่องของความเรียบง่าย ซึ่งถ้าสังเกตดูโฆษณา Apple
แต่ละตัวก็จะยึดแนวทางเดิมในการใช้ความเรียบง่ายเล่าเรื่องเสมอ หรืออย่างแบรนด์ Red Bull ที่เป็นเครื่องดื่มชูกำลัง
ก็มักจะสร้างภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Life Style แบบ Extreme และ Content ส่วนมากมักก็มักจะไปผูกอยู่กับพวกกิจกรรม
Extreme อย่างการแข่งรถหรือกีฬาจำพวกนี้อยู่เสมอๆ ซึ่งวิธีนี้ก็จะทำให้ผู้คนจดจำภาพลักษณ์และจุดเด่นของแบรนด์ได้มากขึ้น
+ หาโครงสร้างที่มีประสิทธิภาพ
รายการทีวี รายการวิทยุ ต่างก็มีการจัดผังโปรแกรมต่างๆ ตามเวลา เพื่อให้รายการมีความหลากหลาย
และสามารถเลือก Content ที่ตรงกับกลุ่มผู้ดูหรือผู้ฟังได้ตรงตามความเหมาะสม ซึ่งสำหรับ Social Marketing ก็เช่นกัน
การที่เราจะลง Content แต่ละครั้งนั้นควรมีแผนเวลาที่ค่อนข้างชัดเจน โดยอาจเริ่มวิเคราะห์จากกลุ่มลูกค้าตัวเองก่อนก็ได้ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร
เช่น ถ้าลูกค้าเราอยู่ในกลุ่มวัยทำงาน ก็อาจคิดได้ว่าช่วงเวลาที่โพสต์ Content ที่ดีที่สุดอาจเป็นช่วงก่อนพักกลางวัน หรือก่อนเลิกงานก็ได้ เป็นต้น
การมีโครงสร้างของ Content เช่นนี้จะช่วยให้การทำ Social Marketing เป็นระบบระเบียบแบบแผนมากขึ้นว่าในแต่ละช่วงเวลานั้นเราจะลง Content ที่มีลักษณะอย่างไร
และควรเลือกใช้ Content หลากหลายแบบเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซากด้วย หลังจากทดลองดูผลตอบรับของลูกค้าแล้วก็ควรปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมขึ้นเรื่อยๆ
จนเห็นผลที่ดีที่สุดแล้วจึงเลือกใช้โครงสร้างนั้นในการทำ Social Marketing ในอนาคตต่อไป
+ ไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่ต้องสร้าง Community
ลูกค้าที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน และมีความชอบในแบรนด์เดียวกัน
เมื่อมีโอกาสมาแลกเปลี่ยนทัศนคติกันหรือมีโอกาสรวมตัวกันเพื่อได้พูดถึงหรือแสดงความเห็นในแบรนด์ที่ตัวเองรัก
มักจะก่อให้เกิดเป็น Community ของกลุ่มลูกค้าที่มีความแข็งแกร่ง เหนียวแน่น และมีความจงรักภักดีมากกว่าแบรนด์ที่แม้ว่าจะมีลูกค้ามากมายกระจายกันออกไป
โดยที่ไม่มีจุดร่วมใดที่เชื่อมโยงพวกเขาเอาไว้เลย อีกทั้งเมื่อเกิด Community แล้วประโยชน์ทีเราจะได้รับ
คือเราจะได้แนวทางความเห็นของสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ไปในทางเดียวกันและชัดเจนมากขึ้น รวมไปถึงการที่กลุ่ม Community เหล่านี้
พร้อมที่จะออกมาปกป้องแบรนด์เมื่อถูกโจมตีอีกด้วย ดังนั้นนอกจากตัวแบรนด์เองที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าแล้ว
แบรนด์ควรจะต้องเป็นสื่อกลางที่จะสานสัมพันธ์ให้กับกลุ่มลูกค้าด้วย โดยอาจจะผ่านทางการรวมตัวเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
หรือวิธีง่ายๆ อย่างการจัดทำ Fan Page หรือ Group บนโลก Social Network ขึ้นมา เพื่อเป็นช่องทางที่ลูกค้าจะได้ร่วมแสดงความเห็นต่างๆ หรือพูดคุยกันจนเกิดเป็น Community ได้ด้วย
+ จำกัด Social Media ให้ถูกจุด
ทุกวันนี้มีเครื่องมือ Social Media หรือช่องทางต่างๆ ในการนำเสนอ Content ให้เราได้เลือกใช้มากมาย
จนบางครั้งก็ดูเหมือนจะมากเกินไปหากเราเลือกใช้ไปทุกๆ ตัวมี เพราะนอกจากจะทำให้ดูแลได้ไม่ทั่วถึงแล้ว
ยังเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์อีกด้วยถ้าหากว่ามีหลายเครื่องมือที่กลุ่มลูกค้าเราไม่ได้ใช้
ทางออกอย่างหนึ่งก็คือเราควรพิจารณาก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเรานั้นนิยมใช้เครื่องมือ Social Media ตัวไหนกันบ้าง
และสินค้าของเรานั้นเหมาะกับชิ้นไหน ก่อนที่จะเลือกใช้ Social Media สัก 3-4 ชนิด
อย่างเช่น สำหรับร้านขายของ Handmade ที่เน้นรูปผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าที่ต้องการขาย
ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ดูแล้วพบว่ากลุ่มลูกค้าส่วนมากมักเล่น Facebook และ Instragram
ก็ควรที่จะพาตัวเองให้เข้าไปอยู่ใน Social media นั้นๆ ส่วนปัจจัยต่อมาเมื่อดูแล้วว่าแบรนด์ของเราเป็นสินค้าสวยๆ งามๆ
ขายไอเดียก็อาจเพิ่มไปลง Social Media อย่าง Pinterest ที่เป็นแหล่งรวบรวมผู้ที่สนใจสินค้าแนวนี้เพิ่มเข้าไปอีกก็ได้
การทำ Social Marketing นั้นอาจดูเป็นเรื่องง่ายสำหรับหลายๆ คน แต่หากต้องการทำ Social Marketing ให้เกิดผลสูงสุดและคุ้มค่ากับกับที่ลงทุนไปแล้วนั้น
เรื่องง่ายๆ ก็อาจก็กลายเป็นเรื่องยากได้เช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะลงทุนไปกับ Social Media แล้ว
ลองศึกษาทั้ง 4 หัวข้อข้างต้นให้ละเอียดดูก่อนว่าเราลงมือทำตามแล้วหรือยัง เพราะทั้ง 4 หัวข้อนี้
ต่างก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจและเหมาะที่จะใช้ในการเริ่มต้นทำ Social Marketing ไม่น้อยเลยทีเดียวทั้งการปรับการตลาดให้เข้ากับภาพลักษณ์ ใช้โครงสร้างเข้าช่วย การสร้างCommunity หรือแม้แต่การเลือกใช้เครื่องมือก็ถือเป็นสิ่งสำคัญแทบทั้งนั้น
Credit : www.promotethaibiz.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น