หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ผู้บริหารซีพี รับยอดขายร้าน 7-11 ลดลง ยันฟังความเห็นลูกค้า



            บัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้บริหารซีพี รับผลการรณรงค์ไม่เข้าร้าน 7-11ทำยอดขายลดลง ยืนยันซีพีพร้อมรับฟังความเห็นลูกค้า เพื่อนำมาพัฒนาสินค้า

            เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2558 นายบัญญัติ คำนูณวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ออกมากล่าวถึงผลการรณรงค์ไม่เข้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ระหว่างวันที่ 7-11 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ว่า บริษัทมีสาขาเปิดให้บริการมากถึงกว่า 8,000 สาขา ดังนั้นหากให้ประเมินหรือคาดการณ์ก็ต้องยอมรับว่า คงจะมีส่วนทำให้ยอดขายลดลงไปอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้จะสามารถสรุปผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจนช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนตัวแบรนด์เซเว่นอีเลฟเว่นก็อาจได้รับผลกระทบที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน

 ผู้บริหารซีพี รับยอดขายร้าน 7-11 ลดลง ยันฟังความเห็นลูกค้า


            นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า ตอนนี้เราได้หยุดเพื่อรับฟังความคิดเห็นของทุกคนแล้ว โดยจะนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมาพิจารณา เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจผู้บริโภคต่อไป และที่ผ่านมาร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ก็ถือเป็นร้านสะดวกซื้อที่อยู่คู่กับชุมชนและสังคมไทยมาตลอด 26 ปี สินค้าและบริการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เราเองก็ได้พัฒนาจากความต้องการของลูกค้ามาโดยตลอด



ภาพจาก cpthailand.com

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ไทยโพสต์

“ชูวิทย์”ตอบให้ ทำไมคนไทยไม่ปลื้ม CP ?


เมื่อวันที่ 29 เม.ษ. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้โพสต์ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ชูวิทย์ I′m No.5 ถึงประเด็นฮอตของเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือรู้จักกันในชื่อย่อซีพี กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยระบุว่า

คนไทยรู้สึกอย่างไรกับ CP ?

ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้ซีพีใหญ่แค่ไหน? ซีพีลงทุนไปทั่วโลกแม้ปากจะบอกอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นบริษัทของคนไทย แต่ในโลกของธุรกิจสากล ซีพีไม่มีสัญชาติ

เราเรียกบริษัทเหล่านี้ว่า "บริษัทข้ามชาติ" ไปลงทุนที่ประเทศไหนก็จัดตั้งบริษัทตามสัญชาติของประเทศนั้น

เราได้ยินเรื่องราวการประสบความสำเร็จของซีพีมามากเริ่มต้นจากร้านขายอาหารสัตว์เล็กๆเมื่อ 50 ปีก่อน ตั้งอยู่แถบเยาวราช บนถนนทรงวาด หลังบ้านผมนี่เอง

แต่ซีพีควรจะฟังว่า คนไทยรู้สึกอย่างไรกับซีพี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทำไมคนไทยถึงไม่ประทับใจกับความสำเร็จของซีพี?

1.ซีพีใหญ่เกินไป และการเติบโตประสบความสำเร็จของซีพี คืนกำไรกลับสู่สังคมน้อยมาก

ไม่ต้องไปพูดถึงการบริจาคน้ำท่วม หรือเอาผ้าห่มไปให้กับผู้ประสบภัยหน้าหนาว เพราะเรื่องแค่นั้นมันจิ๊บจ๊อย เมื่อเทียบกับการที่ซีพีมีอำนาจเหนือตลาด โดยใช้เงินทุนกำหนดทิศทางตลาดจนกระทั่งคู่แข่งขันเหลือน้อยลง หรือหายสาปสูญไป

ยกตัวอย่าง เซเว่นอีเลฟเว่นที่มีสาขามากมาย คู่แข่งอย่างแฟมิลี่มาร์ท หรือลอว์สัน เทียบไม่ติดฝุ่น

2.วิธีการที่ซีพีปฏิบัติต่อลูกค้าหรือคู่ค้า เป็นเพียงเรื่องของธุรกิจเท่านั้น จึงยากที่จะทำให้คนไทยในฐานะลูกค้า คิดถึงซีพีในแง่ที่ดีอื่นๆ นอกเหนือจากเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ

ซีพีตะกละตะกลามที่จะประสบความสำเร็จโดยใช้วิธีควบคุมตลาดเปิดเซเว่นโปรยไปทั่วทุกชุมชน จนไม่เหลืออะไรให้กับคนท้องถิ่นที่อยากประกอบธุรกิจแบบเดียวกัน ค่าแฟรนไชส์ก็หนักหนาสาหัส แถมยังชักเปอร์เซ็นต์จากผู้ที่เปิดร้านเซเว่นมากกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์

3.ซีพีประสบความสำเร็จมากเกินไปอะไรที่ซีพีทำต้องเหนือกว่าผู้อื่นไปเสียทุกอย่าง ไม่ว่าขายไก่ อาหาร ค้าปลีกค้าส่ง โทรคมนาคม เคเบิ้ลทีวี และต่อไปอาจจะเป็น "รถไฟความเร็วสูง"

ซีพีแทรกซึมเข้าไปทุกธุรกิจ ทำกำไรมหาศาล และไม่เหลือพื้นที่ยืนให้กับคู่แข่งขันขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ หรือแม้กระทั่งคนในท้องถิ่น

คนไทยไม่ได้ต้องการบอยคอต หรือต่อต้านซีพีแต่อย่างใด เพียงแต่ต้องการบอกให้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างซีพีได้พิจารณาอย่างถ่องแท้ ว่าคนไทยคิดอย่างไรกับซีพี

ทำไมคนไทยถึงไม่ภาคภูมิใจกับความสำเร็จของซีพี?
มันเป็นคำถามที่ยาก ที่ซีพีจะต้องค้นหาคำตอบให้เร็วที่สุด

ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าซีพีจะประสบความสำเร็จมากมายเท่าไหร่
คนไทยก็ยิ่งเกลียดกลัวซีพีมากขึ้นเท่านั้น

ที่มา : sanook.com

ถึงกับงง! สาวถอนเงิน 10,000 จากแบงค์ดัง แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ใครถอนเงินลองเช็คกันด้วยนะครับ



ที่มา กลุ่มชาวอยุธยาถึงชาวอยุธยาร่วมกันแจ้งข่าวสารและข้อมูลต่างๆในพื้นที่กันครับ
วันนี้บนโลกโซเชี่ยลได้มีการแชร์ภาพและข้อมูล โดยมีสมาชิกท่านหนึ่งได้ไปทำการเบิกเงิน แต่พอกลับมาถึงบ้านก็พบสิ่งผิดปกติ โดยเธอได้ทำการแชร์ประสบการณ์ที่เธอได้พบเจอดังนี้
ขอรบกวนพื้นที่นิดนึงนะคะ คืออยากฝากเตือนพี่น้องชาวอยุธยานิดนึงคะเวลาไปธนาคารเบิกเงินเยอะๆไม่ว่าแบงค์เก่าหรือแบ่งใหม่เราควรนับเงินตรวจเช็คเงินของคุณทุกใบนะคะเพราะเมื่อกี้นี้ไปเบิกเงินที่ธนาคารแห่งหนึ่แต่กลับโดนสอดไส้มา




แต่เมื่อภาพดังกล่าวได้ถูกแชร์ออกไป ก็ทำให้มีผู้มาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยส่วนมากก็บอกว่าควรจะกลับเข้าไปแจ้งธนาคารของสาขานั้นๆ เพื่อให้เขาได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น
และทางโอ้โหซ่าส์ ก็ขอเตือนทุกๆท่านอีกครั้ง ว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดเป็นครั้งแรก มันอาจจะเกิดได้จากความผิดพลาดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจหรือตั้งใจของพนักงาน
ดังนั้นเราควรตรวจสอบเงินทุกครั้งก่อนออกธนาคาร ดีที่สุดครับ









ข้อมูลจาก: ohozaa.com

3 ขั้นตอนจัดการค่าใช้จ่าย ที่มนุษย์เงินเดือนต้องอ่าน !



วิธีจัดการค่าใช้จ่ายฉบับมนุษย์เงินเดือน ที่เป็นเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทำง่ายนิดเดียวแต่เรามักมองข้ามไปซะได้ แค่ 3 ขั้นตอนนี้ก็มีเงินเหลือใช้แล้วนะ !!

         ใครเป็นมนุษย์เงินเดือนบ้างยกมือขึ้น ! เคยไหมคะที่ช่วงต้นเดือนรู้สึกว่าตัวเองเงินตุงกระเป๋า เข้าร้านหรู กินอาหารแพง ๆ ช้อปปิ้งไม่อั้น แต่พอเข้าสู่ช่วงกลางเดือนทีไร ก็พึ่งพาบะหมี่สำเร็จรูปไปซะทุกที นั่นอาจจะเป็นเพราะคุณไม่รู้จักจัดการกับเงินเดือนที่มีให้พอดีกับรายจ่ายหรือเปล่า ? วันนี้เราก็เลยมีเคล็ดลับง่าย ๆ สไตล์มนุษย์เงินเดือนมาฝาก จาก คุณสมาชิกหมายเลข 1522571 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่จะเผย 3 ขั้นตอนสั้น ๆ แต่ช่วยให้มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้ได้มากขึ้น ลองไปดูกันค่ะว่าเขาทำได้อย่างไร..


แนะนำวิธี จัดการกับค่าใช้จ่าย มนุษย์เงินเดือนครับ โดย คุณสมาชิกหมายเลข 1522571

         สวัสดีครับ ผมก็เป็นหนึ่งในมนุษเงินเดือนทั่วไป เงินเดือน 1XXXX หน่อย ๆ ที่เคยประสบปัญหาค่าใช้จ่ายไม่พอในแต่ละเดือน จนในที่สุดผมก็เจอวิธีจัดการกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เลยอยากจะนำมาแชร์ให้ทุกคนที่กำลังเจอปัญหานี้อยู่ลองทำตามดูครับ

ขั้นตอนแรก คือคำนวนค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนครับ เช่น

          ค่าผ่อนรถ 4,700 บาท

          ค่าห้องรวมค่าน้ำ-ค่าไฟ 4,000 บาท

          ค่าประกันชีวิต 1,100 บาท

          ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ครอบครัวที่บ้านนอก 400 บาท

          และส่งเงินให้ที่บ้าน 5,000 บาท

          สรุปผมมีค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนอยู่ที่ 15,200 บาทครับ

         เงินเดือนของผมกับแฟนรวมกัน 27,000 บาท

         จะเหลือ 11,800 บาทครับ

ขั้นตอนต่อไป ทำปฎิทินเงินค่าใช้จ่ายในแต่ละวันครับ
         ผมกับแฟนใช้เงินสองคนรวมกัน แค่วันละ 200 ครับ มีค่าแก๊สที่ต้องเติมรถขับมาทำงาน สัปดาห์ละ 300 บาท รวมแล้วใช้เงินทั้งเดือนแค่ 7,200 บาทครับ โดยจะแบ่งไว้เป็นซอง ๆ แบบนี้ครับ ใครจะทำตามก็ไม่ว่ากันครับ จากนั้นผมจะเหลือเงินใช้อื่น ๆ ถึง 4,600 บาทครับ


ขั้นตอนที่สามครับ จากเงินที่เหลือผมแบ่งมาฝากเงินฝากประจำ 1,000 บาททุกเดือนครับ

         สรุปแล้วหลังจากที่แบ่งเงินทั้งหมดที่ต้องใช้ในแต่ละเดือนเรียบร้อยก็จะเหลือเงินที่จะเอาไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กินอื่น ๆ เที่ยว ช้อปปิ้งเสือผ้า และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เผื่อฉุกเฉินที่นอกเหนือจากนี้ ถึง 3,600 บาท เชียวนะครับ ถ้าเราใช้ไม่หมด มันก็ทบไปเรื่อย ๆ กลายเป็นเงินเก็บทั้งสองทาง

         เป็นไงบ้างครับแค่ 3 ขั้นตอน เราก็จะมีชีวิตที่ดีขึ้น มีกิน มีใช้ เราก็จะอยู่ได้โดยไม่ต้องเดือนร้อนหรือเป็นหนี้ใครเลยนะครับ
        

         นี่แค่เริ่มต้นนะครับสำหรับก้าวเล็ก ๆ ก้าวแรก อยากให้ทุกคนลองทำดูแล้วเราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วเงินเดือนของเรา พอกับค่าใช้จ่าย แถมเหลืออีกตั้งเยอะ เพียงแค่เราไม่เคยทำแบบนี้ เราเลยไม่เคยเห็นความฟุ่มเฟือยของเราครับ วิธีนี้จะเปลี่ยนชีวิตจากที่เคยบ่นว่าเงินเดือนไม่พอใช้แถมยังต้องยืมเพื่อน ๆ จะหมดไปครับ ขอบคุณครับ




ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1522571 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

9 สิ่งที่คนรวยคิดต่าง อยากรวยบ้างต้องจำให้ขึ้นใจ !


 


          เรื่องน่ารู้ของคนรวย รู้ไหมว่าสิ่งเหล่านี้แหละที่พวกเขาคิดต่างจากคนอื่น แถมยังลงมือทำมันซะด้วย..

          ถ้าตอนก่อนเกิดมีปุ่มให้เราเลือกเกิดได้ตามใจอยาก เชื่อได้เลยว่าคงมีแต่คนอยากเกิดมาบนกองเงินกองทอง ชนิดที่คาบช้อนฝังเพชรออกมาจากท้องแม่กันเลยทีเดียว แต่ในเมื่อความเป็นจริงไม่สามารถเลือกเกิดอย่างนั้นได้ ชีวิตก็เลยต้องดิ้นรนกันต่อไป แต่เอ๊ะ ! เคยสงสัยกันไหมคะว่า คนรวยทำไมถึงรวยแล้วรวยเล่าเฝ้าแต่รวย ในขณะที่เราก็อดบ้างอิ่มบ้างตามยถากรรม หรืออาจเป็นเพราะเราเข้าไม่ถึงกระบวนการคิดและวิถีชีวิตของคนรวยอย่างที่ Life And My Finances แจกแจงมาว่า 9 สิ่งนี้แหละที่มีแต่คนรวยเท่านั้นจะคิดและทำได้


 1. ชีวิตคือการลงทุน

          ไม่ว่าจะทำธุรกิจหรือเป็นพนักงานบริษัท คนรวยจะคอยคำนวณผลกำไรขาดทุนของตัวเองไว้ตลอดเวลา และกฎตายตัวของเขาเหล่านี้ คือ ลงทุนไปเท่าไร สิ่งที่ได้รับกลับมาต้องเท่าเทียมกันหรือมากกว่าที่ลงทุนไป ซึ่งถ้าให้เข้าใจง่าย ๆ ก็ป็นหลักของทุนนิยมนี่ล่ะค่ะ แต่หากคุณยังมัวคิดแต่ว่า ต้องหาเงินเข้ากระเป๋าให้พอกับรายจ่ายที่รายล้อมชีวิตอยู่ แบบนี้ต่อให้ตรากตรำทำงานต่อไปอีกสิบเป็นปีเพื่อหวังจะรวย บอกเลยตรงนี้ว่ายาก


 2. อุปสรรคคืออะไร คนรวยไม่รู้จัก

          ในขณะที่เรามองเห็นแต่อุปสรรค คนรวยกลับมองสิ่งนั้นเป็นโอกาสที่เขาจะคว้ามาไว้ต่อยอดสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตได้ โดยเขาเชื่อกันว่า ทุกความยากลำบากในชีวิตที่ต้องเจอ อย่างน้อยก็ต้องมีทางออกให้เราคลี่คลายสถานการณ์ได้ไม่ว่าในทางใดก็ทางหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้มุมมองด้านไหนแก้ปัญหาและพาให้ชีวิตขับเคลื่อนไปต่อได้


 3. คลุกคลีอยู่ในสังคมคิดบวก

          สภาพแวดล้อมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงกับทัศนคติและพฤติกรรมของคนเรา นี่คือสิ่งที่คนรวยเขาเชื่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร และการที่ได้คลุกคลีอยู่ในสังคมคิดบวก พูดคุยกันแต่เรื่องความสำเร็จและเป้าหมายของชีวิตอย่างมีความหวัง คนรวยเขาก็เชื่อกันว่าจะเป็นพลังให้ชีวิตมีแรงบันดาลใจ อีกทั้งเราก็จะกลายเป็นคนทะเยอทะยานมากขึ้นด้วย



 4. กล้าแสดงจุดแข็งของตัวเองอย่างเปิดเผย

          ข้อดีของตัวเองอยู่ตรงไหน จุดแข็งที่ไม่น่าจะมีใครเทียบเทียมเราได้คืออะไร เป็นสิ่งสำคัญที่คนรวยต้องรู้ตัวเองอยู่เสมอ และพร้อมจะแสดงความเด่นออกมาอย่างถูกที่ถูกเวลา เพราะนี่ก็เปรียบเหมือนประตูที่เปิดไว้รอรับทรัพย์ รับโอกาสดี ๆ ที่คนเหนียมอายอาจพลาดไปอย่างน่าเสียดายได้ ดังนั้นหากอยากเป็นคนมีเงินใช้ไม่ขาดมือ อย่างแรกควรหาจุดเด่นของตัวเอง แล้วศึกษาวิธีเสนอจุดขายของตัวเองได้แล้ว


 5. แข็งแกร่งกว่าปัญหา

          ไม่ว่าจะรวยล้นฟ้าแค่ไหน ชีวิตก็ไม่เคยโรยด้วยกลีบกุหลาบหรอกนะคะ ทว่าคนมีฐานะมั่นคงเหล่านี้เขาจะฝึกตัวเองให้อยู่เหนือทุกปัญหา มีความแข็งแกร่งมากพอจะต่อกรกับขวากหนามของชีวิตได้อย่างไม่สะท้านสะเทือน หรืออย่างน้อย ๆ หากชีวิตต้องเจอกับช่วงหกล้มคลุกคลาน คนรวยก็จะทำทุกวิถีทางให้ตัวเองลุกขึ้นเดินได้อีกครั้ง แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร คนที่ประสบความสำเร็จเหล่านี้จะไม่เคยย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อยเลย


 6. มีวิธีต่อยอดเม็ดเงินในกระเป๋าอย่างชาญฉลาด

          สมมติว่ามีเงินอยู่ 5 บาท แต่อยากซื้อไอศกรีม และหมากฝรั่งซึ่งมีราคาชิ้นละ 5 บาททั้งคู่ ถ้าเป็นคนที่มีข้อจำกัดในเรื่องการใช้จ่ายก็คงตัดใจจากของชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปเพราะเงินไม่พอใช่ไหมคะ แต่หากเป็นคนรวย เขาจะเลือกซื้อลูกอม 1 แพค ในราคา 5 บาท แล้วนำลูกอมเหล่านั้นไปขายต่อเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าเงินที่มีอยู่ แค่นี้ก็กลับมาซื้อได้ทั้งไอศกรีมและหมากฝรั่งแล้ว เห็นไหมล่ะว่ากระบวนการคิดแตกต่างกันจริง ๆ


 7. ใช้เงินเป็น

          มีเงิน 500 ใช้ 500 หมดในครั้งเดียวแบบนี้เขาเรียกใช้เงินไม่เป็นค่ะ และแม้คนเหล่านี้จะหาเงินเก่งแค่ไหน ในอนาคตก็คงไม่มีวันร่ำรวยมั่นคงได้ ดังนั้นคนรวยจึงไม่โฟกัสเรื่องรายได้เท่าไรนัก แต่กลับโฟกัสเรื่องการเก็บออม และการต่อยอดเงินให้เพิ่มขึ้นเท่านั้น นี่สินะที่เขาเรียกว่าชีวิตดี๊ดี





 8. เรียนรู้ชีวิตและการเติบโตตลอดเวลา

          ความรู้เป็นสิ่งที่ไม่มีวันสิ้นสุด และคนรวยก็ตระหนักความจริงข้อนี้ดีอยู่แก่ใจ ดังนั้นตั้งแต่โตมาเขาจึงไขว่คว้าทุกโอกาสของการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการร่ำเรียนในห้องเรียน และห้องเรียนนอกเวลาอย่างการท่องโลกกว้าง หรือการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการปูทางให้ชีวิตได้พบกับความแปลกใหม่ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่งอย่างไร้ค่า


 9. ไม่เคยย่อท้อต่อความลำบาก

          ต่อให้ตอนนี้ชีวิตจะเจอแต่อุปสรรคและความยากลำบากจนแทบทนไม่ไหว แต่คนจะรวยยังไงก็จะรวยอยู่วันยังค่ำ เขาจะไม่กลัวความลำบากและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใด ๆ สักนิดเลย เพราะเชื่ออยู่เสมอว่า ลำบากตอนนี้ไปก่อน ทำให้ดีที่สุดเอาไว้ แล้วพรุ่งนี้จะสบายเอง


          อ่านแล้วโดนกันสักข้อไหมคะ ถ้าปัจจุบันคุณมีความคิดและกำลังปฏิบัติตัวตามนี้อยู่ ในอนาคตคงได้เป็นเศรษฐีหรือเศรษฐินีกันบ้างล่ะน่า





ขอขอบคุณข้อมูลจาก kapook.com